ปักกิ่ง (Pekingese)
หมา ปักกิ่งหรือที่ฝรั่งเรียกว่าพันธุ์ ‘พิคินีซ’ เกิดขึ้นจากฝีมือการผสมของคนจีนเพื่อให้ได้หมาจิ๋วถูกใจเจ้านายชั้นสูงใน ปักกิ่งสมัยนั้นคนจีนมีความสามารถพิเศษในการทำอะไรๆ ให้เป็นแคระไม่ว่าจะเป็นหมาหรือต้นไม้อย่างบอนไซหมา ปักกิ่งหน้าย่น ขนนุ่ม และหางขอดเหมาะที่จะเป็นของเล่นมากกว่าจะใช้ประโยขน์อื่นๆในครั้งกระโน้น บรรดาเจ้านายจึงเก็บหมาพวกนี้ไว้เล่นในพระราชวังฤดูร้อนพวกไพร่ฟ้านอกกำแพง วังเองก็ไม่เคยเห็นประมาณ ค.ศ. ๑๘๖๐ พวกฝรั่งเข้าเมืองจีนได้ เห็นหมาของเล่นก็ถูกใจส่งกลับไปบ้านเมืองตัว ควีนวิคตอเรียจึงเป็นฝรั่งคนแรกๆ ที่มีหมาปักกิ่งไว้เล่น
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุนัขส่วนมากเมื่อ เขียนถึงพันธุ์ปักกิ่งก็จะเริ่มต้นว่าพันธุ์ปักกิ่งเกิดขึ้นมานานแล้วเป็น เวลาหนึ่งหรือสองพันปีขึ้นไปสุนัขสายพันธุ์ปักกิ่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน นั้นจะคล้ายคลึงกับสุนัขขนาดเล็กของจีนยุตโบราณ ย้อนเวลากลับไป มีหลักฐานว่าคนจีนเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กมาตั้งแต่ 1500 ปีก่อนแล้ว ในปี ค.ศ. 565 พระเจ้าจักรพรรดิประเทศจีนทรงพระราชทานนามสุนัขของพระองค์ว่า "ชิ ซู" หรือ "เสือแดง" เป็นสุนัขเปอร์เซียน เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทรงม้า "เสือแดง"จะขึ้นไปนั่งบนตะกร้าที่ผูกไว้ด้านหน้าอานม้า ในปี ค.ศ. 620 มีบันทึกว่าสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่หนึ่ง สูงประมาณ 6 นิ้ว ถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายจักรพรรดิเกาสู บันทึกอ้างว่าสุนัขคู่นี้มีความเฉลียวฉลาดมากสามารถนำทางม้าในเวลากลางคืน
หลักฐานทำนองนี้สืบเนื่องกันมากจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อราชวงศ์ของกุบไลข่านถูกพิชิตลง บันทึกหลักฐานต่างๆ ก็หมดสิ้นลงไปด้วยเป็นเวลาสืบเนื่อง 33 ปี เรารู้แต่ว่าคนจีนหันมานิยมเลี้ยงแมวแทนสุนัขโดยเฉพาะในสังคมชั้นสูง ธรรมเนียมการเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กของจีนมาพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดระหว่างปี ค.ศ. 1820 ถึง 1850 ในช่วงเวลานั้นมีสุนัขอยู่หลายพันธุ์ในนครปักกิ่ง พวกขันที 4000 คนยังมีหน้าที่เฉพาะในการผลิตเพาะสุนัขแบบที่เราเรียกว่า "พันธุ์ปักกิ่ง" ด้วยพระนางซูสีไทเฮาทรงเป็นผู้ทำนุบำรุงกิจกรรมนี้พระนางยังทรงกระตุ้นให้ สร้างรูปแบบพันธุ์คล้ายกับ "สุนัขสิงห์โต" แบบเก่ากิจกรรมข้อหนึ่งก็คือจัดร่างกฎเกณฑ์แบบเฉพาะของสุนัข ข้อความที่นำมาเสนอแบบย่อๆมีดังนี้ "จงให้มันสวมคลุมขนแห่งความสง่ารอบๆ คอ ขาคู่หน้าของมันจะต้องโค้งเพื่อไม่ให้มันเดินออกไปไกลๆ หรือเดินออกนอกเขตพระราชฐานจงสอนมันให้ละเว้นการเตร็ดเตร่ไปมา ให้มันมีขนเหมือนสิงห์โตเหมาะที่จะอุ้มไว้ในชายแขนเสื้อคลุม …" กฤษฎีกานี้ยังกำหนดต่อไปถึงอาหารของสุนัขเช่น "หูฉลาม" "ตับนก" และ "ส่วนอกนกกระทา"เราอาจจะไม่ถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังนักอย่างไรก็ตามหลัก ฐานนี้ทำให้เรารู้ว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเกิดขึ้นมาแล้วและมักจะพบสุนัข พันธุ์นี้ในพระราชวังเท่านั้นในสมัยก่อนผู้ใดขโมยสุนัขนี้จะได้รับโทษถึง ประหารชีวิตพระราชวังแห่งปักกิ่งถูกชาวต่างชาติบุกเข้ายึดครองเมื่อปี ค.ศ. 1860 ก่อนการสูญเสียมีคำสั่งจากพระราชวงศ์ว่าให้สุนัขตายไปเสียดีกว่าจะให้ตกอยู่ ในมือของคนต่างชาติเจ้าฟ้าหญิงพระองค์หนึ่งไม่ยอมเสด็จหนี ทั้งไม่ยอมให้ทหารดรากูนเข้าจับกุมด้วยทรงปลงพระชนม์ชีพของพระองค์เอง แต่ไม่ได้ทำลายสุนัขที่เลี้ยงไว้สุนัขปักกิ่งสี่ตัวถูกทหารยึดได้ ตัวหนึ่งถูกส่งขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระราชินีวิคตอเรีย อีก 3 ตัวที่เหลือยุคแห่งริชมอนด์เลี้ยงดูไว้ต่อมาก็มีผู้นำตัวอื่นๆ เข้าสู่อังกฤษอีก ตัวหนึ่งได้นำถวายควีนวิคตอเรีย ส่วนอีก 3 ตัวมอบให้ LORD HAY และได้แพร่พันธุ์กระจายไปทั่วไปโลกซึ่งก็หมายถึงการเลี้ยงดูเพาะสร้างสาย พันธุ์ที่ตามมา
เรื่องราวเหล่านี้อ่านแล้วเหมือนนิยายแต่ก็เป็นเรื่องจริง เรื่องคล้ายนิยายและความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ซึ่งเป็นของสูงนี้ทำให้พันธุ์ ปักกิ่งได้รับความนิยมอย่างใหญ่หลวงตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 8 มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น LION DOG SUN DOG หรือ STEEVE DOG ปักกิ่งเป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจที่สุดและมีบุคลิกลักษณะที่ผิดธรรมดาที่ สุดมันมีลักษณะผสมกันประหลาดๆ ของความขบขันและความทรนงเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ด้วยทั้งยังมีความหัวแข็ง ดื้อรั้นอย่างน่าทึ่งบางครั้งก็ไม่ยอมรับคำสั่งโดยเด็ดขาด พวกมันชอบเก้าอี้นวมบุแพรไหมแต่ถ้ามีอารมณ์สนุกแล้วก็อกไปวิ่งไล่จับกระต่าย เลยลักษณะเฉพาะตัวเหล่านี้ทำให้สุนัขพันธุ์นี้พุ่งขึ้นไปสู่ระดับสุดยอด พันธุ์ปักกิ่งไม่เคยหลุดออกจากยี่สิบอันดับแรกสุนัขยอดนิยมของอังกฤษ (Top Twenty) และยังคงติดอันดับสูงมาจนทุกวันนี้ สำหรับในสหรัฐอเมริกานั้นทั้งๆที่พันธุ์ปักกิ่งเพิ่งเข้าไปเมื่อต้นคริสต์ ศตวรรษที่ 20 แต่ก็เป็นสุนัขระดับยอดนิยม
มาตรฐานสายพันธ์
ศีรษะ | มีขนาดใหญ่ แข็งแรง กว้างและแบน ในช่วงระหว่างหูทั้งสองข้างจะต้องไม่มีโค้ง นูนเป็นโดม มีระยะระหว่างตาทั้งสองข้างกว้าง |
จมูก | จมูกสีดำ กว้าง สั้นและแบน |
ตา | ตาโต สีเข้ม กลมนูนเด่นประกาย |
สต๊อป | หรือรอยต่อระหว่างสันจมูกกับหน้าผากจะต้องลึกมาก |
หู | มีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ไม่อยู่สูงเกินไป ยาวพอสมควร ปลายหูอยู่ระดับต่ำกว่าช่วง ปากเล็กน้อย ห้อยตกลงแนบแก้ม ปกคลุมด้วยขนที่ยาวมาก |
ช่วงปาก | สั้นมาก กว้าง มีรอยย่น ไม่ยื่นแหลม แข็งแรง ขากรรไกรล่างกว้าง ฟันไม่ยื่นให้ เห็นนอกริมฝีปาก |
รูปร่างของลำตัว | ลำตัวช่วงหน้าใหญ่หนักแข็งแรง หน้าอกกว้าง ซี่โครงโค้งกว้างค่อยๆ เรียวลงทาง ด้านหลัง รูปร่างเหมือนสิงโต หลังเรียบขนานกับพื้น ลำตัวสั้นยกเว้นตัวเมียที่อาจ ยาวกว่าตัวผู้ได้เล็กน้อย |
ขา | ขาสั้น ขาหน้ามีกระดูกช่วงบนโค้ง ไหล่แข็งแรง ขาหลังมีกระดูกที่เล็กบางกว่าเล็ก น้อย แต่แข็งแรงและได้สัดส่วน |
เท้า | เท้าแบน ปลายเท้าเฉียงออก ไม่มีลักษณะกลม จะต้องยืนได้มั่นคงบนเท้าไม่ใช่ยืน บนข้อเท้า |
ลักษณะท่าทาง | ไม่กลัวใคร เป็นอิสระ แข็งแรง ลักษณะการเดินจะมีการโยกตัวซ้ายขวาอย่างนุ่ม นวล(ROLL) |
ขน | ขนยาว มีขนชั้นในที่หนาแน่น ขนมีลักษณะเป็นเส้นตรง เรียบไม่หยิกเป็นคลื่น ค่อนข้างหยาบแต่นุ่ม ขนบริเวณสะโพก ขา หางและหูจะต้องยาวและฟูมาก |
ขนแผงคอ | ยาวและฟูมาก กว้างเกินหัวไหล่ ปกคลุมตลอดรอบลำคอ |
สี | มีได้ทุกสีคือ แดง ฟอน (สีโทนน้ำตาล) ดำ ดำกับแทน (BLACK AND TAN) เซเบิล (ขนสีดำที่ปกคลุมสีของลำตัวที่อ่อนกว่า) บรินเดิ้ล (ขนสีเข้มและสีอ่อนขึ้น แซมกันทั่วตัว) ขาวและขน 2 สี (PATICOLOR) คือ จะต้องมีสี 2 สีที่แยกจากกัน อย่างชัดเจนกระจายอยู่ทั่วตัว ไม่มีสีใดสีหนึ่ง เป็นบริเวณกว้างอยู่สีเดียว จะต้องมี สีขาวปรากฎบริเวณหลัง สำหรับสุนัขที่มีสีเดียว แต่มีเท้ากับหน้าอกยาว ไม่นับเป็น ประเภทขนสองสี |
หาง | ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง วางพาดไปบนหลัง ปลายหางตกลงด้านใดด้านหนึ่ง มีขน ยาวตรงแน่นและฟูมาก |
ขนาด | เนื่องจากปักกิ่งเป็นสุนัขตุ๊กตา (TOY) จึงนิยมให้มีขนาดเล็ก โดยจะต้องมีลักษณะ ที่ถูกต้อง น้ำหนักจะต้องไม่เกิน 14 ปอนด์ |
การแสดงออก | จะต้องแสดงออกถึงต้นกำเนิดเดิมในประเทศจีน คือ มีความกล้าหาญ เป็นตัวของ ตัวเอง เหมือนสิงโตที่มีขนาดเล็ก มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่กลัวใคร พร้อมที่จะ ต่อสู้ป้องกันตัวแต่ไม่ดุร้าย ไม่ควรมีลักษณะอ่อนหวานหรือบอบบาง |
ข้อบกพร่อง | ลิ้นยื่นให้เห็นนอกปาก ตาเจ็บอักเสบ ขากรรไกรบนยื่นกว่าขากรรไกรล่าง (OVERSHOT) และปากเบี้ยว (WRY MOUTH) จมูกสีชมพูหรือสีน้ำตาล (DUDLEY NOSE) น้ำหนักเกินกว่า 14 ปอนด์ ลูกปักกิ่ง ประมาณ 2 สัปดาห์ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น